http://sitawan112.blogspot.com/2012/06/blog-post.html กล่าวว่า
เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอาจมีหลายลักษณะ เช่น เป็นตำรา สารานุกรม พจนานุกรม นามานุกรม ดัชนี รายงานสถิติ หนังสือรายปี
บทความในวารสาร จุลสาร
ที่สำคัญก็คือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น
ผู้วิจัยจะต้องทำการสำรวจอ่านทบทวนอย่างพินิจพิเคราะห์ ทักษะที่สำคัญของการทำวิจัยในขั้นตอนนี้คือ
ทักษะในการสืบค้นหาสารนิเทศจากแหล่งต่าง ๆ และทักษะในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
วัลลภ
ลำพาย (2547 :35 ) กล่าวว่า
1. ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น
เรื่องที่จะศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้ผู้บริหารหน่วยงานของรัฐ การทบทวนวรรณกรรมก็ควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานในด้านต่าง
ๆ เพื่อที่จะดูว่า กลุ่มตัวอย่างคือใคร มีวิธีการทำงานอย่างไร และผลการวิจัยเป็นอย่างไร
2. เอกสารที่เกี่ยวข้องที่จะวิจัย ในบางครั้งจำเป็นต้องนำมาอ้างอิง
เช่นทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องเรื่องการบริหาร ก็ต้องนำทฤษฎีด้านการบริหารมาอ้างอิง
3. การทบทวนวรรณกรรม หลังจากได้อ่านแล้ว ควรจับประเด็นสำคัญที่จะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย
ในบางครั้งผลการวิจัยจำเป็นต้องกล่าวถึงวิธีวิจัย กลุ่มตัวอย่าง
ปีที่ทำการวิจัย
เนื่องจากสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเชื่อถือได้ของงานวิจัย
4. การอ้างถึงเอกสารหรือผลงานวิจัย ควรจัดลำดับหัวข้อตามความสำคัญ ไม่ใช่จัดตามเรื่องที่ได้ค้นพบก่อนหลัง
การจัดลำดับหัวข้อตามความสำคัญจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และยังช่วยทำให้เห็นความสำคัญของผลการวิจัย
มนัส สุวรรณ ( 2544 :
29-30 ) กล่าวว่า
1. ทำให้ผู้วิจัยสามารถเลื อกและกำหนดปัญหาเพื่อการวิจัยได้
1. ทำให้ผู้วิจัยสามารถเลื อกและกำหนดปัญหาเพื่อการวิจัยได้
2. ทำให้ผู้วิจัยรู้และเข้าใจสถานะภาพปัจจุบันและความก้าวหน้าของสาขาที่ตนเองสนใจทำวิจัย
3. การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องจะทำให้ผู้วิจัยทราบว่ามีปัญหาที่น่าสนใจอะไรบ้างในสาขาวิชาที่ตนจะทำวิจัยที่มีผู้ทำการศึกษาแล้ว และปัญหาอะไรบ้างที่ยังไม่มีผู้ทำการศึกษาวิจัย สามารถจะหลีกเลี่ยงการวิจัยซ้ำซ้อน
และมีความคิดริเริ่มแปลกใหม่ขึ้นมาจากความสำคัญข้อนี้
4. ผู้วิจัยสามารถทราบปัญหาและข้อบกพร่องต่าง
ๆ
ในสาขาวิชาที่ตนสนใจและสามารถที่จะนำปัญหาและข้อบกพร่องเหล่านี้มาปรับปรุงหรือพัฒนาเพื่อให้งานวิจัยของตนประสบผลดียิ่งขึ้น
5. ผู้วิจัยจะได้แนวทางต่าง ๆ
จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
เช่น
ทราบแหล่งที่มาและการได้มาซึ่งข้อมูล
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้
การกำหนดรูปแบบการวิเคราะห์
การเลือกและการกำหนดตัวแปร
ตลอดจนวิธีการวิเคราะห์และการทำรายงานการวิจัย เป็นต้น
6. ผู้วิจัยสามารถนำผลการวิจัยของตนมาเปรียบเทียบอ้างอิงกับวรรณกรรมที่ทบทวนเพื่อสรุปในรายงานวิจัย
ทั้งนี้ไม่ว่าการเปรียบเทียบผลนั้นจะเป็นการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
7. เพิ่มความน่าเชื่อถือและน้ำหนักเชิงวิชาการให้กับงานวิจัย
แหล่งของวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องคือ
1. หนังสือตำรา
2. รายงานการวิจัย
3. วารสารต่าง ๆ
4. เอกสารอื่น ๆ เช่น เอกสารประกอบการเรียน หนังสือพิมพ์
เป็นต้น
สรุป
เอกสารงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับหัวข้อปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอาจมีหลายลักษณะ เช่น เป็นตำรา สารานุกรม พจนานุกรม นามานุกรม ดัชนี รายงานสถิติ
หนังสือรายปี บทความในวารสาร จุลสาร ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น
เรื่องที่จะศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้ผู้บริหารหน่วยงานของรัฐ การทบทวนวรรณกรรมก็ควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานในด้านต่าง
ๆ เพื่อที่จะดูว่า กลุ่มตัวอย่างคือใคร มีวิธีการทำงานอย่างไร และผลการวิจัยเป็นอย่างไร ที่สำคัญก็คือรายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น
ผู้วิจัยจะต้องทำการสำรวจอ่านทบทวนอย่างพินิจพิเคราะห์ ทักษะที่สำคัญของการทำวิจัยในขั้นตอนนี้คือ
ทักษะในการสืบค้นหาสารนิเทศจากแหล่งต่าง ๆ และทักษะในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
อ้างอิง
http://sitawan112.blogspot.com/2012/06/blog-post.html
[ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อ 11/11/12
วัลลภ ลำพาย.(2547). เทคนิควิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพ ฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ .
มนัส สุวรรณ.(2544). ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.กรุงเทพ ฯ : โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์ .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น